วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ข้าวต้มเพื่อนเจ้าของรีสอร์ต

เคยไหมเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด แล้วพักรีสอร์ตหรือโรงแรม หลายครั้งเราอยากพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากทำอาหารรับประทานเอง ก็ยินดีใช้บริการห้องอาหาร หรือไม่ก็ออกไปหาอะไรอร่อยๆทานข้างนอก แต่บางทีเรารู้สึกตัวลีบมาก อยากทำอะไรทานเองบ้างก็ไม่ได้ เป็นกติกาของรีสอร์ตและโรงแรมทั่วไป ว่าผู้มาพักห้ามทำอาหาร ต้องทานอาหารตามเมนู (ที่บางครั้งราคาก็แสนแพง) ในห้องอาหารของเขาเท่านั้น ทั้งๆที่อาหารบางจานก็ทำให้เรารู้สึกว่า ชั้นทำเองอร่อยกว่านี้อีก หรือ รสมันไม่เหมือนอาหารชื่อนี้เอาเสียเลย แม่ครัวไปเรียนมาจากไหนเนี่ย ครั้นจะไปพักในที่ที่ทำอาหารเองได้ มันก็ต้องแบกเครื่องครัวไปเอง เป็นภาระสุดแสนยิ่งใหญ่ แล้วใครจะล้างชามล่ะ โอ๊ย... วุ่นวายจนเหมือนไม่ใช่การพักผ่อนเอาเสียเลย


พอดีมีโอกาสไปเที่ยวรีสอร์ตกับคณะเพื่อนเจ้าของรีสอร์ต แน่นอนหละ... การพักผ่อนย่อมเป็นแบบเจ้าของๆ ทำอะไรทานกันนอกเมนูบ้าง ไม่ตัวลีบแบบว่าต้องสั่งอาหารในเมนูเท่านั้น ตอนเช้ามีคุณน้าเพื่อนเจ้าของคนหนึ่งรับจะทำข้าวต้มให้ทาน โอ้ว...เริ่ดมากค่ะ กรรมวิธีดังนี้
เครื่องปรุง:      ไก่ต้มแล้วฉีกฝอย (ให้คนทำมาจากบ้าน)
                   หัวแครอท กับเห็ดหอม หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า (ให้คนที่บ้านหั่นมา)
                   ข้าวสวย (ให้คนหุงมาจากบ้าน)
วิธีทำ:            ให้แม่ครัวที่รีสอร์ตตื่นตีห้า มาต้มซี่โครงไก่ เคี่ยวให้เป็นน้ำซุปไว้
คุณเพื่อนเจ้าของรีสอร์ตตื่นแปดโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว สวมนาฬิกาเรือน(และสาย)ทอง มาตักโครงไก่ขึ้นจากหม้อ แล้วใส่ไก่ต้มฉีกฝอย หัวแครอท กับเห็ดหอมลงไปต้มในน้ำซุป พอให้แครอทสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมให้พอดี แล้วใส่ข้าวลงไป เคี่ยวให้น้ำซุปเข้าเนื้อข้าวหน่อย ตักขึ้นใส่ชาม โรยหน้าด้วยใบคึ่นช่ายหั่น และกระเทียมเจียว... อร่อยมาก... ทำก็ง่าย อือมม...เที่ยวรีสอร์ตกับเพื่อนเจ้าของนี่ก็ดีนะ ได้อร่อยมื้อเช้ากับข้าวต้มแบบนี้ โดยไม่ต้องขนเครื่องครัว และไม่ต้องล้างชาม

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ร้านกาแฟนรสิงห์

การตกแต่งภายในร้าน

      ใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในพ.ศ.นี้คงจะเป็นคนไม่มีเพื่อนทางเน็ตเอาซะเลย เพราะอิทธิพลของฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งต่อกันไปถึงไหนต่อไหน ทำให้ชื่อนี้ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน ในฐานะร้านกาแฟสุดคลาสสิคร้านหนึ่งของไทย ร้านนี้ตั้งอยู่ในพระราชวังพญาไท คือในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฏ อาคารที่ใช้ทำเป็นร้านกาแฟ เดิมเป็นห้องพักรับรองข้าราชการ ที่รอเข้าเฝ้า


ที่เห็นมีลวดลาย คือที่แขวนหมวก
          มูลนิธิพระราชวังพญาไท ได้ปรับปรุงห้องนี้เป็นร้านกาแฟ ตกแต่งแบบยุโรป โดยเก็บเฟอร์นิเจอร์เก่าไว้บ้าง อย่างในรูปนี้เป็นที่แขวนหมวกของข้าราชการในสมัยนั้น (แต่ตะขอไม้หายไปแล้ว) ทำให้ลูกค้าหลายคนชื่นชอบบรรยากาศยิ่งนัก เข้ามาใช้บริการกันตั้งแต่สายถึงค่ำ ยิ่งวันหยุดด้วยแล้ว ลูกค้าก็มักจะแน่นเป็นพิเศษ ทุกวันเสาร์ เขามีบริการมัคคุเทสก์นำชมพระตำหนัก พี่ไกด์บอกว่า เปิดให้ชมมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 สมัยก่อนมีแต่ญาติคนไข้มาเดินดูวันละสามสี่คน แต่สมัยนี้นะ คนมาตั้งใจมาโดยเฉพาะ มีตั้งแต่นิสิต-นักศึกษามาทำรายงาน ไปจนถึงคนที่สนใจศึกษาประวัติมาก่อน แต่ละคนพกกล้องมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมแววตากระตือรือร้น ทั้งกล้องเล็กกล้องใหญ่ ถ่ายกันไปทุกจุดที่เขาอธิบาย เดินไปทางไหนก็เจอแต่คนถือกล้อง แม้แต่ในร้านกาแฟ คนมานั่งดื่มกาแฟอยู่คนเดียว ก็ยังมีกล้องมาด้วย อือมม... อิทธิพลของภาพถ่ายจากอีเมล์นี่ไม่เบาทีเดียว แต่ว่า... คนที่มาแอบหักชิ้นส่วนของรูปปั้นหินอ่อนที่ตั้งอยู่ในพระตำหนักไปน่ะ หักไปทามมายกันจ๊ะ

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ครัวริมเขื่อน

     ได้เคยอ่านบทความหรือบล็อกที่คนเขาไปชิมอาหารตามที่ต่างๆมาก็เยอะแล้ว เห็นที่เขาติรสชาดอาหารนั้นมีน้อยมาก จริงๆนะ ส่วนใหญ่คนที่เขียนชวนชิมก็หาอะไรมาชมเข้า (จนได้) สักอย่าง เหมือนเป็นธรรมเนียม แต่ถ้าอาหารจานไหนไม่ได้ระดับจริงๆ คนไปชิมก็จะเลี่ยงไปว่า ไม่ชอบรสแบบนี้ หรือไม่งั้นก็ไม่เขียนถึงเอาเสียเลย คงกลัวทางร้านเขาจะเสียใจมั้ง หรือคนชิมอาจจะคิดว่าการไปพูดว่าอาหารจานไหนไม่อร่อย จะทำให้คนไม่เข้าร้านนั้น และจะทำให้ธุรกิจของร้านไม่ดี เลยไม่อยากทำ อันที่จริงแล้วถ้าร้านอาหารร้านหนึ่งเปิดกิจการมาได้นานเกินปีขึ้นไป ก็ย่อมมีทั้งจานอร่อยเด็ด เป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน และจานที่รสออกธรรมดา เหมือนหาได้ทั่วไป หรืออาจมีบางจาน ที่รสยังไม่เข้าขั้น ปะปนกันอยู่ ร้านไหนทำอาหารรสไม่ดี ถ้าไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลที่หาผู้เคราะห์ร้ายง่ายมากๆ ต่อให้โหมโฆษณาขนาดไหน ก็จะปิดไปตั้งแต่เปิดมายังไม่ถึงปี ซึ่งเราก็ไม่ต้องไปชิมอยู่แล้วจ้ะ

        วันนี้จะลองทั้งติทั้งชม รสอาหารแบบไม่ให้โกรธกันดูบ้าง อย่างร้านครัวริมเขื่อนนี่ไง จานอร่อยของเขาคือปลาเขื่อนทอด (ที่หัวปลามีกลิ่นโคลนเล็กน้อย เพื่อยืนยันว่ามาจากเขื่อนจริง) กับผัดเห็ดหอมสด ใครมาร้านนี้ ก็ต้องสั่งผัดเห็ดหอมสดกันทั้งนั้น เพราะแถวนี้เป็นแหล่งปลูกเห็ดหอมสดขนาดใหญ่แหล่งหนึ่งของเมืองไทย เห็ดที่สดจริงๆ เอามาผัดนั้น รสจะหวาน เคี้ยวหนึบ อร่อยกว่าเห็ดที่ซื้อจากตลาดมาก นอกจากเห็ดแล้ว ที่นี่ก็มีอาหารประเภทซี่โครงหมูต่างๆ เป็นจานขึ้นชื่อของทางร้าน ส่วนใครจะสั่งแกงส้มมาเป็นของหวานหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่รสนิยม
          ร้านนี้อยู่ริมอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง ขับรถไปตามถนนที่วนรอบอ่างเก็บน้ำ ก็คงเจอเข้าจนได้ ถ้าสนใจไปทานอาหารร้านนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำ ก็คือการหาอ่างเก็บน้ำให้เจอเสียก่อน เพราะน้ำในอ่างแห้งจนดูไม่ออกแล้วว่าเป็นอ่างเก็บน้ำ ดูเหมือนพื้นที่ว่างโล่ง มีหญ้าขึ้นรกเท่านั้นเอง ต่อไป ปลาเขื่อนทอดซึ่งเป็นอาหารจานเด็ดของร้านนี้ อาจจะมาจากเขื่อนอื่นก็เป็นได้ 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ไปดูคอนเสิร์ต

        อันเนื่องจากโดนลากไปดูคอนเสิร์ตของ คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย มีหน้าที่ต้องไปมอบช่อดอกไม้มั่ง รัยมั่ง ประสาเพื่อนที่ดี คณะนี้เค้าไปได้เหรียญเงินกันมา จากการแข่งขัน World Choir Game 2010 ที่เมืองจีน ที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันครึกโครมว่าเด็กไทยเจ๋งนั่นแหละค่า
          แต่ก่อนไปแข่งขัน เขาจัดคอนเสิร์ตให้คณะนักร้องแสดงกับเวทีจริงกัน อันนี้มันฟรีอ่ะ คนดูแน่นขนัด เพราะแค่พ่อแม่นักร้องก็เป็นร้อยแล้ว แล้วยังมี ญาติผู้ใหญ่อีก แหม... ใครๆก็ปลื้ม ลูกหลานเป็นทีมชาติทั้งทีนิ กล้องมาเป็นสิบๆตัว ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายวิดีโอ คุณลุงที่นั่งข้างหน้าหนูก็ประมาณนี้แหละ มาในชุดซาฟารีสุดเท่ พร้อมกล้องถ่ายรูป (แน่นอน Digital SLR) ให้สมุนถือกล้องถ่ายวิดีโอรุ่นใหม่มาอีกตัว มีคุณป้ามานั่งเป็นกำลังใจ ก่อนเริ่มการแสดง ทางผู้จัดเขาประกาศห้ามการถ่ายรูป เขาอยากประกาศก็ประกาศของเขาไปเราไม่ฟังก็ไม่ฟังกันไป พอเริ่มการแสดง ลุงก็เริ่มถ่าย เสียงชัตเตอร์รัว แชะ แชะ พร้อมแฟลชวาบเป็นระยะ ดูอาการแล้วงานนี้ลูกลุงต้องอยู่ในวงแน่ เพราะฉากมันไม่ได้เปลี่ยนซะหน่อย จะถ่ายอะไรกันปานนั้นฟระ แต่ที่โหดมากคือ ลุงลุกขึ้นเดินไปถ่ายซะชิดเวทีเลยนะนั่น ปาดหน้าแขกผู้ใหญ่ของงานไปดื้อๆ แถมปาดคนดูอีกทั้งโรง... ไม่เป็นไรลูกรัก... โรงละครนี้เป็นของเรา... คนดูคนอื่นเขาช่วยมานั่งให้เต็มๆงั้นเองจ้ะ... โอ้ว... อินสุดๆ... ลุกขึ้น... ลุกลง... เดี๋ยวกลับมานั่งที่... เดี๋ยวไปใหม่... อยู่งั้นเอง... อือม-ม-ม... น่าเชิญไปสัมมนาเรื่องประชาธิปไตยพื้นฐานต้องรู้จักการไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น ซะเจง-เจง
ภาพหมู่คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย ในงานคอนเสิร์ต The Echo of the East by Thai Youth Choir
(ถ่ายตอนเขาอนุญาตนะจ๊ะ)

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

A Cup of Love – อุแม่เจ้า...

ไปวังน้ำเขียวมาอ่ะ ประมาณว่าเป็นทริปชิลๆ เฮฮากับเพื่อน เค้าบอกว่าจะพาไปถ่ายรูปที่ร้านกาแฟสวยๆ เราก็ไม่ขัด ไปกันตั้งหลายคน มันก็ควรจะมีรูปถ่ายติดไม้ติดมือกันมาบ้าง แต่พอไปถึงเข้าจริง... โอ้ว... รัยเนี่ย...
ร้านนี้ชื่อ A Cup of Love ด้านหน้าเป็นร้านกาแฟ แต่ด้านหลังรู้สึกเป็นรีสอร์ต ให้คนมาพัก บรรยากาศก็คงดีเหมือนกัน ที่นี่เขาเน้น ทำอาคารให้สวย เพื่อถ่ายรูปได้ทุกมุม แต่จะมีบางมุมที่เขาตกแต่งเป็นพิเศษ ให้คนมายืนโพสต์ได้
ลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านนี้เป็นวัยรุ่น หรือไม่ก็นิสิตนักศึกษา มากันเป็นกลุ่ม ทุกกลุ่มมีกล้องถ่ายรูปมาด้วย กติกาของร้านคือบริการตนเอง เวลาสั่งกาแฟเขาจะถามชื่อเอาไว้ แล้วถ้าไม่ยืนอยู่แถวๆนั้นเพื่อรอรับ ก็ไปถ่ายรูปกันก่อนได้
การถ่ายรูป เป็นมหกรรมที่น่าตื่นเต้นมากก๊าบ-บ-บ... เพ่-น้อง มันจะต้องมีทั้งรูปเดี่ยว และรูปหมู่ แล้วก็มีคนนี้กับคนนั้น มีรูปหมู่สามคน รูปหมู่สี่คน รูปหมู่ทั้งหมู่ แล้วมันก็ยังมีหลายมุม ซึ่งจะต้องถ่ายให้ครบ แล้วเจ้าของกล้องก็จะต้องขอให้เพื่อนถ่ายให้บ้าง กว่าจะครบแต่ละมุม ก็ต้องมีสิบรูปเป็นอย่างน้อย แล้วร้านนี้ก็มีมุมให้ถ่ายเยอะซะด้วย บางคนก็ถ่ายปุ๊บ อัพเฟซบุ๊คปั๊บ ให้มันรู้ซะมั่ง... บางคนก็ถ่ายรูปเพลินจนเครื่องดื่มที่สั่งไว้...ได้แล้วก็ไม่สนใจ มิน่าล่ะ ตอนสั่งเครื่องดื่มเขาถึงได้ถามชื่อด้วย เอาไว้สำหรับประกาศเรียกมารับนั่นเอง
นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ทางร้านเขามีมุมขายของที่ระลึกเล็กน้อย ประเภทถูกใจวัยรุ่นด้วย คนแน่นเหมือนเขาแจกฟรี และก็ไม่มีใครสนใจใคร ใครจะโพสต์ท่าประหลาดยังไงก็ไม่มีใครมอง ทุกคนมาถ่าย ถ่าย และถ่าย ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายกันอย่างเอาจริงเอาจัง และแล้ว...ถ้าเกิดอยากจะถ่ายจริงๆ มุมหน้าห้องน้ำก็สวยพอให้โพสต์ท่าได้อ่า-า-า... ถ้าไม่ปวดจัด

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ภาพเขียนฝาผนัง-วัดเกษไชโย

     ปกติคนไปวัดเกษไชโยเขาไปไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ในวิหารหลวงกัน และก็มาไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในวัดเก่าแก่แห่งนี้ ตอนไหว้สงสัยขอโชคขอลาภกันเยอะมั้ง เห็นไหว้เสร็จแล้วก็เสี่ยงเซียมซีมั่ง ซื้อลอตเตอรี่มั่ง บางคนก็ไปเดินดูตะกร้าสานของอ่างทอง เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช้เส้นหวาย หรือไม้ไผ่แล้วนะท่านผู้ชม เค้าใช้เส้นพลาสติคสานเป็นสีสวยๆแทนค่ะ
แต่พวกเราอยากไปดูภาพเขียนฝาผนัง เลยเข้าไปเดินในโบสถ์กันอยู่นาน สันนิษฐานกันว่าภาพเขียนชุดนี้เขียนขึ้นสมัยรัชกาลที่ห้า ในครั้งที่ท่านได้โปรดให้บูรณะวัดนี้ เพราะแม้จะเป็นภาพเขียนสองมิติแบบไทย แต่ เรื่องราวที่ปรากฎอยู่ในภาพนั้นไม่น่าจะโบราณมากนัก น่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ห้านั้นเอง เช่นมีรูปตึกแบบฝรั่ง แต่หลังคาเป็นยอดปราสาท คล้ายพระที่นั่งจักรีเป็นต้น ภาพเขียนชุดนี้ยังคงสมบูรณ์พอที่จะบอกเล่าความเป็นไป ของสังคมสมัยนั้นได้ดี ถ้าจะสังเกตให้ดีแล้วเรื่องราวที่ภาพบอกมานั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่แตกต่างกับสังคมสมัยนี้มากนัก  ดูอย่างภาพแสดงประตู และทางเดินที่คนผ่านเข้าออกมากๆนี่ไง ม้า-า-น-นก้อมีคนมาตั้งแผงลอยขายของมั่ง ไรมั่งตั้งแต่สมัยโน้นแหละ ขวางทางคนเดินเหมือนแผงลอยสมัยนี้ซะด้วย แล้วอีกภาพนึงอ่ะ ... อ้าว... พี่ตำรวจ ... หลับยามกันมาตั้งแต่สมัยโน้นเลยเหรอคร้า-า-า 

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนมสอดไส้ใบตองสด

ใบตองยังสดอยู่เลย
ประสาเด็กชอบเที่ยว วันก่อนนั้นพวกเราไปถ่ายรูปแถวลพบุรีกัน แล้วเพื่อนก็เลยลากไปบ้านคุณป้าที่สิงห์บุรี นอนเล่นกันอยู่จนบ่าย บังเอิ๊น-บังเอิญ วันนั้นคุณป้าทำขนมสอดไส้พอดี เราเลยได้ชิมกัน แต่มันไม่ยักเหมือนสอดไส้ที่ขายกันในกรุงเทพแฮะ ในกรุงเทพ แม่ค้าเขาเอาขนมไปนึ่งให้สุก พอแกะห่อออกมา แป้งมันก็จะเปื้อนสีใบตองเขียวๆ ก่อนทานจะได้กลิ่นใบตองนึ่งนิดหน่อย
          แต่ขนมที่บ้านคุณป้ามันเป็นใบตองสด เด็กอยากรู้เลยไปถามคุณป้าว่า คุณป้าคะ ทำยังไงขนมจึงสุกได้โดยที่ใบตองยังสดอยู่ คุณป้าหัวเราะ เออ...ลูกช่างสังเกตดี แล้วเลยเล่าให้ฟังว่า สอดไส้แบบนี้เป็นตำราโบราณ ไส้เขาก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ คือกวนมะพร้าวขูดกับน้ำตาลปึกผสมเกลือลงไปนิดหน่อย ให้รสหวานกำลังดี แห้งแล้วก็อบไส้ด้วยควันเทียนอบไว้สักวันหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ทำแป้งหุ้มไส้ โดยนวดแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำดอกอัญชันให้เข้ากันดี แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนกลมหุ้มไส้มะพร้าวกวน นึ่งให้สุก วางบนใบตองที่จะใช้ห่อ เสร็จแล้วจึงกวนส่วนผสมของตัวแป้งให้ข้น และสุกกำลังดี ตักตัวขนมโปะลงบนไส้ แล้วห่อเลย ความยากของการทำงานวิธีนี้อยู่ที่การรู้จังหวะ ว่าแป้งได้ที่หรือยัง แป้งต้องข้นพอดี ถ้าเหลวไป หรือข้นไป ก็จะห่อไม่ได้ มันยุ่งยากมากขนาดนี้ คนสมัยใหม่เขาก็เลยใช้วิธีนึ่งเอาเสียเลย จะได้แน่ใจว่าขนมสุกแน่ ใครไม่เคยทานขนมสอดไส้ใบตองสดมาก่อน ก็จะไม่ทราบหรอกว่า เวลาเปิดห่อมาแล้วได้กลิ่นหอมจางๆของกะทินั้น มันสุนทรีย์ขนาดไหน