วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

ขนมทองโยะ


          ขนมชนิดนี้หารับประทานยากหน่อย เป็นขนมของทางเหนือ ซึ่งมีทำกันในหลายพื้นที่ เมื่อได้รับประทานตอนแรก ก็คิดว่าชื่อขนมทองโยะเป็นภาษาไทยใหญ่ เพราะเห็นชาวไทยใหญ่เขาทำเป็นกันทุกบ้าน แต่ภาษาไทยใหญ่เขาเรียกขนมนี้ว่า "ข้าวปุก"  ตามสูตรของไทยใหญ่ ในฤดูหนาวจะเป็นฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งจะมีข้าวเหนียวใหม่ออก และทางเหนือมีงาชนิดหนึ่ง เม็ดป้อมๆเรียกว่า งาม้อน กลิ่นจะไม่มากเท่างาดำปกติ เมื่อข้าวเหนียวใหม่ และงาม้อนออก ชาวไทยใหญ่จะนึ่งข้าวเหนียว แล้วตำกับงา ปั้นแป้งให้เป็นก้อน และคลุกกับงาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนน้ำจิ้ม ใช้วิธีละลายงบน้ำอ้อยและเคี่ยวจนเหนียวเป็นสีน้ำตาลไหม้ รับประทานแล้วรสคล้ายขนมเหนียวของทางภาคกลาง แต่ขนมเหนียวจะมีมะพร้าวเป็นส่วนผสม และโรยด้วยข้าวเม่าทอดกรอบๆ ทำให้รสแปลกไปอีกแบบหนึ่ง
            แต่ต่อมาจึงได้พบขนมนี้ตามที่ต่างๆทางภาคเหนือ ในหมู่พวกขมุก็มี เขาปั้นเป็นรูปร่างต่างๆกัน และเรียกว่าทองโยะเหมือนกัน บางแห่งก็ทำเป็นแผ่นหนาๆสี่เหลี่ยม บางแห่งก็ปั้นแบนๆเท่าฝ่ามือ บางแห่งเอามาจิ้มนมข้น
             ส่วนที่จังหวัดน่าน เวลาตำข้าวเหนียวกับงาม้อน เขาจะใส่เกลือลงไปนิดหน่อย หลังจากคลุกงาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็รับประทานโดยจิ้มน้ำตาลทราย แต่ถ้าใครไม่ชอบจิ้มน้ำตาล จะทานเปล่าๆก็จะมีรสเค็มปะแล่มของเกลือ ทางน่านเรียกขนมนี้ว่า งาม้อน” 
            ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรี ก็มีวิธีทำขนมแบบเดียวกันนี้ แต่ใช้งาดำธรรมดา ไม่ใช่งาม้อน เขาเรียกขนมนี้ว่า "หมี่สิ" และสามารถนำไปทอดก่อนทาน หรือนำติดตัวเป็นเสบียงในการเดินทาง เพราะขนมไม่เสียง่าย
            แต่การเคี่ยวงบน้ำอ้อยให้เหนียว เพื่อใช้จิ้มขนม ตามแบบของไทยใหญ่นี่เวิร์คมากอ่ะ มันหอม เข้ากับขนมจริงๆเลย...

ขนมทองโยะ สูตรไทยใหญ่ น้ำจิ้มอร่อยมั่กค่า... เกือบหมดก่อนถ่ายรูปแน่ะ

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ถนนท้ายวัง


         ถนนท้ายวัง เป็นถนนสายสั้นๆ คั่นระหว่างพระบรมมหาราชวัง กับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เนื่องจากไม่มีอาคารอื่นอยู่บนถนนนี้เลย เมื่อนักท่องเที่ยวที่มาชมวัดโพธิ์ไปหมดแล้ว ถนนจึงค่อนข้างเงียบปราศจากผู้คนเดินไปมา ประตูพระบรมมหาราชวังที่เปิดออกสู่ถนนสายนี้ มีสามประตู คือประตูวิจิตรบรรจง ประตูอนงคารักษ์ และประตูพิทักษ์บวร แม้ในวันที่นักท่องเที่ยวขวักไขว่ มีรถบัสคันใหญ่ผลัดกันมาจอดริมถนนฝั่งวัดโพธิ์ ถนนฝั่งพระบรมมหาราชวังก็ยังไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก ถ้าเริ่มต้นเดินจากกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศตะวันออกไปทางตะวันตกเรื่อยๆ เราจะรู้สึกได้ถึงความเงียบ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระบรมมหาราชวัง มักจะเกิดขึ้นด้านหน้า คือ การเข้าชมวัดพระแก้ว และการเข้าชมพระที่นั่งต่างๆ แต่ในอีกทางหนึ่ง ความเงียบของถนนท้ายวังนั้น ทำให้เรารู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไป ยิ่งเมื่อเดินผ่านดงกล้วย และต้นมะม่วงใหญ่ในวังด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เราจินตนาการถึงชีวิตคนในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี
            เมื่อเดินไปจนสุดทาง ถนนท้ายวังก็จะไปบรรจบกับถนนมหาราช ตรงตลาดท่าเตียน หันหน้าออกแม่น้ำด้านขวามือ เดิมเป็นกรมการค้าภายใน แต่ขณะนี้ได้มีการรื้ออาคารออก และทำเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ชื่อ สวนนาคราภิรมย์ เปิดมุมมองโล่งกว้างเห็นพระปรางวัดอรุณราชวรารามได้ชัดเจน แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายไปตามถนนมหาราช เราก็จะเห็นภาพวัดโพธิ์ที่สงบ ร่มรื่น ซึ่งน้อยครั้งจะได้เห็นเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

เก้าวัดเก้าวัน

ช่วงเทศกาลปีใหม่พ.ศ. 2554 ทางกทม. ได้เชิญชวนประชาชนไปไหว้พระ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง เรียกงานนี้ว่า ไหว้พระเก้าวัดเก้าวัน ทางกทม.ได้จัดรถรางและรถโดยสารประจำทางไว้บริการโดยไม่คิดมูลค่า คนจัดเขาก็คงไม่คิดหรอกว่าโครงการนี้จะได้รับความนิยมมากขนาดนั้น แต่บังเอิญผิดคาด คนแห่กันไปไหว้พระแน่นขนัดจนผู้เกี่ยวข้องเองก็คงจะงงไม่น้อย ได้ยินนายท่าปล่อยรถเมล์บ่นว่า แล้วก็ไม่แจ้งรายละเอียดมา
ในช่วงวันหยุดนั้นคาดว่ากรุงเทพคงโล่ง เลยคิดจะไปเดินในเขตพระนคร เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของกรุงเทพ ในฐานะลูกหลานไทยซะหน่อย แต่พอไปเข้าจริงรถกลับติดมาก เห็นพี่ตำรวจจราจรคนหนึ่ง หยุดทำหน้าที่โบกรถแล้ว นั่งพักอยู่มอเตอร์ไซค์ของตัวเอง เลยลองไปถามดูว่าทำไมรถติด พี่เค้าบอกว่า คนมาไหว้พระกัน แถมท่องชื่อวัดให้ฟังเป็นชุด เอื๊อก... ผู้คนประมาณนี้เลยเหรอพี่... รถรางที่เตรียมไว้ไม่พอ ต้องเอารถเมล์มาเสริม คนเดินกันขวักไขว่ไปหมด ไม่รู้มาจากไหนกัน มิน่าล่ะ พี่ตำรวจถึงหยุดโบก ก็มันไม่รู้จะโบกอะไรจริงๆนี่นา
คนศรัทธาหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย แล้วก็ตามแบบไทยๆ... คือต้องมีอาหารมาขาย จะเป็นรอบนอกของพระบรมมหาราชวัง หรืองานวัดในต่างจังหวัด ก็ไม่แตกต่าง... คนที่กินก็กินกันไป ที่เมาก็เมากันไป ที่ขายของก็ขายกันไป สนาม และสวนหย่อมรอบกำแพงพระบรมมหาราชวัง จึงเต็มไปด้วยขยะ ที่คนมักง่ายไม่รับผิดชอบทิ้งไว้เกลื่อนกลาด จนอดสงสัยไม่ได้ว่า คนเหล่านี้เขาศรัทธาในอะไรหรือ? ตามหลักธรรมของทุกศาสนา เมื่อจะเข้าไปกราบสิ่งที่ตนนับถือ ด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง ก็ต้องทำตัวและทำใจให้สะอาด เมื่อใจสะอาด การแสดงความเคารพนั้นจึงจะเกิดเป็นมงคลแก่ชีวิต แล้วใจจะสะอาดได้อย่างไร ถ้าคนเราต้องเดินลุยกองขยะกับดงคนเมาเข้าไปกราบพระ
หลังจากเดินจนเมื่อยแล้ว ขากลับ ขึ้นรถพี่แท็กซี่คันหนึ่ง ตอนขึ้นไปใหม่ๆ ก็นึกเหมือนกันว่า คนขับรถแท็กซี่น่าจะใช้ยาระงับกลิ่นตัว... ซะมั่งนะ... แต่พอขับผ่านทางเท้าแห่งหนึ่ง พี่แท็กซี่ก็บอกว่า มันเอาพระมาขาย แบกะดินบนทางเดินแบบนี้ ดูแล้วมันไม่ดีเลย หาโต๊ะเตี้ยๆตั้งซักหน่อยก็ไม่ได้ เลยรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ถึงแม้พี่จะเต่าแรงซักหน่อย แต่พี่ก็ยังเป็นชาวพุทธแท้กว่าพวกมาไหว้พระ แต่กินเหล้ากับทิ้งขยะ จริงๆนะพี่...

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

มีอะไรในน้ำชา...



        เขตพระนครชั้นใน บริเวณถนนมหาราช เป็นบริเวณที่มีสิ่งก่อสร้างเก่าๆ ทั้งอาคารพาณิชย์และอื่นๆมากมาย เหมือนประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต เป็นเสน่ห์ในตัวเอง คนต่างชาติที่สนใจประวัติศาสตร์หลายคน นิยมมาเดินเที่ยวชมเมืองเก่าแบบนี้ มีหนังสือคู่มือนำเที่ยวเล่มหนึ่ง ก็อ่านไปเดินไป เท่ากับได้ซึมซับรากเหง้าแห่งอารยธรรมของประเทศด้วยตน เอง ปัจจุบัน จึงมีโรงแรมขนาดเล็กสร้างเพื่อรองรับตลาดกุล่มนี้ บางแห่งก็ออกแบบ ตกแต่ง ให้คล้ายสถาปัตยกรรมยุโรป หรือเหมาะสมกลมกลืนกับอาคารในบริเวณใกล้เคียง
            ถนนมหาราช แม้จะมีตลาดกลางค้าส่ง อย่างปากคลองตลาดอยู่ใกล้เคียง แต่ส่วนที่ผ่านด้านหลังวัดโพธิ์ ก็ยังมีเวลาที่การจราจรเบาบาง อาคารร้านค้าริมถนนสายนี้ ส่วนที่ติดแม่น้ำ ไม่ใช่โกดังสินค้า แต่เป็นอาคารพาณิชย์เสียมากกว่า มีซอยเล็กๆตัดลงไปถึงริมน้ำเป็นระยะ เมื่อเดินเข้าซอยไป ความพลุกพล่านก็สงบลง ไม่เหมือนอยู่ในเขตการค้าที่จอแจมากนัก ใครที่เดินเที่ยวชมเมืองแถบนั้นจนเหนื่อยแล้ว ถ้าได้นั่งพักผ่อน จิบน้ำชายามบ่าย ในบรรยากาศสบายริมแม่น้ำ ก็น่าจะมีความสุขอีกแบบหนึ่ง ยิ่งถ้าได้นั่งที่ระเบียง รับลมเย็นจากแม่น้ำ มองดูเรือแล่นไปมา มีภาพพระราชวังเดิม และพระปรางวัดอรุณราชวรารามอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ก็ยิ่งเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งการพักผ่อนที่หาได้ยากทีเดียว
          ดังนั้น เมื่อเดินมาถึงซอยทางเข้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปสั่งขนมกับน้ำชา เพื่อจะได้นั่งเพลิดเพลินกับบรรยากาศให้หายเมื่อยสักครู่ ทั้งๆที่เป็นวันหยุด ก็มีคนคิดเหมือนเราหลายคนเหมือนกัน แหม่มคนหนึ่งมีหนังสือมานั่งอ่านใต้ร่มสนาม ในมุมร่มรื่น คงนั่งไปจนกว่าแซนด์วิชและน้ำส้มจะหมด... ร้านนี้คงไม่ค่อยว่างคนนัก ขนมเขาก็รสชาดใช้ได้ทีเดียว แต่รู้สึกว่า...วิธีเสิร์ฟน้ำชาค่อนข้างแปลกหน่อย ตอนรับออเดอร์ พนักงานถามว่า แยกนมไหมครับ ก็งง... เพราะตามมาตรฐานทั่วไป น้ำชานั้นต้องปรุงเอง แต่ก็บอกเขา (เพื่อป้องกันความไม่เข้าใจกัน) ว่า แยกนมและน้ำตาลด้วย เขาก็ให้น้ำตาลหนึ่งซอง กับนมสดเหยือกเล็ก-เล้ก-ก-ก ต่อน้ำชาหนึ่งกา ตอนชงเสร็จยิ่ง... เอ้อ... มีอะไรลอยมาในน้ำชาหนูคะเนี่ย... หนูทานอาหารมังสวิรัติค่า-า-า...